ในขณะที่ RSN เคยเป็นเหมืองทองในการจัดจำหน่ายเนื้อหาเกี่ยวกับกีฬาในท้องถิ่น แต่ผลกำไรของพวกเขาก็ลดลง ในช่วงที่ล้มละลาย Diamond ได้ยกเลิกข้อตกลงที่มีต้นทุนสูงบางรายการ รวมถึงสัญญากับทีมเบสบอลในเมเจอร์ลีก (MLB) เช่น Cincinnati Reds และเจรจาข้อตกลงอื่นๆ ใหม่ เช่น ข้อตกลงกับ Detroit Tigers และ Tampa Bay Rays สัญญาที่แก้ไขเหล่านี้มักรวมสิทธิ์ในการสตรีม ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่การบริโภคกีฬาแบบดิจิทัล
เบื้องหลังการล้มละลาย
Diamond Sports Group ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Sinclair Broadcast Group ก่อตั้งขึ้นในปี 2019 โดยซื้อ RSNs จากบริษัท Walt Disney มูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ การซื้อครั้งนี้เป็นเงื่อนไขในการที่ Disney จะต้องซื้อทรัพย์สินของ 21st Century Fox ตามคำสั่งของกระทรวงยุติธรรม ในตอนแรกข้อตกลงนี้ดูมีแนวโน้มดี เพราะจะทำให้ Diamond เข้าถึงสิทธิ์ในการถ่ายทอดกีฬาอันมีค่าได้ อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าก็เริ่มมีรอยร้าวในรากฐาน
Sinclair Group ก่อตั้งขึ้นในปี 1971 โดย Julian Sinclair Smith และเดิมดำเนินการภายใต้ชื่อ Chesapeake Television Corporation บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อลูกชายของ Smith ได้แก่ David, Frederick, Duncan และ Robert รวมสินทรัพย์ของตนภายใต้ชื่อ Sinclair Broadcast Group ในปี 1986 David D. Smith ซึ่งดำรงตำแหน่ง CEO ในปี 1988 เป็นผู้นำในการขยายธุรกิจอย่างก้าวร้าว รวมถึงการเข้าซื้อกิจการและกลยุทธ์การดำเนินงาน เช่น ข้อตกลงการตลาดในพื้นที่
ผู้ถือหุ้นและเจ้าของใหม่
หลังจากล้มละลาย ความเป็นเจ้าของของ Diamond ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เจ้าหนี้หลายราย เช่น PGIM, Hein Park Capital และ Discovery Capital Management ได้แปลงหนี้เป็นทุน ทำให้หนี้สินของ Diamond ลดลงจาก 9 พันล้านดอลลาร์เหลือ 200 ล้านดอลลาร์ Sinclair ยังคงถือหุ้นส่วนน้อย แต่อิทธิพลของบริษัทก็ลดน้อยลง
การสำรวจโมเดลการขายตรงถึงผู้บริโภคของ Diamond ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้ง การนำการกำหนดราคาเกมเดียวสำหรับเกม NBA และ NHL มาใช้ รวมถึงการร่วมมือกับแพลตฟอร์มอย่าง Prime Video ของ Amazon สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของบริษัทในการตอบสนองความต้องการของผู้ชมที่อายุน้อยกว่าและเป็นคนดิจิทัล การเคลื่อนไหวเหล่านี้ยังทำให้ Diamond สามารถใช้ประโยชน์จากการบรรจบกันของสื่อและการพนันกีฬา ซึ่งอาจมอบประสบการณ์แบบโต้ตอบที่ผสานกีฬาสดเข้ากับการพนันแบบเรียลไทม์